
เรียนผู้ถือหุ้นของ บริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ปีที่ผ่านมาเป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเผชิญทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวประมาณร้อยละ 2.7 โดยที่อัตราดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงแต่ได้รับปัจจัยบวกจากภาคบริการและการท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) ภายใต้โครงสร้างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายยังสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างมั่นคง โดยมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ การชะลอการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น14,566 ล้านบาทในปี 2567 ลดลงจากปี 2566 เพียงร้อยละ 13 และมีกำไรสุทธิ 1,467 ล้านบาทหรือ 0.62 บาทต่อหุ้น
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตบางส่วนของห่วงโซ่อุปทานออกจากประเทศจีน ฮ่องกง และไต้หวัน และการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯสามารถขยายคลังสินค้าทั้งแบบ Built-to-Suit และแบบ Built-to-Function เพิ่มขึ้นมากจนเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า3.63 ล้าน ตร.ม. โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ ณ สิ้นปี 2567 สูงถึงร้อยละ 87 ของพื้นที่ทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเพิ่มการลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมตามแนวทางความยั่งยืนในระดับสากล ทั้งในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย เพื่อรองรับการขยายตัวจากการย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมจากประเทศจีน ฮ่องกง และไต้หวันด้วย
บริษัทฯ ยังเร่งพัฒนาโครงการอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์(ARAYA The Eastern Gateway) บนที่ดินประมาณ 4,600 ไร่ภายใต้บริษัทร่วมที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 50 เพื่อให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Industrial Township) ซึ่งจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล ที่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อม และจะช่วยเสริมศักยภาพให้บริษัทฯ เติบโตได้อีกระดับหนึ่ง (New S-Curve) โครงการอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ระยะที่ 1 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,200 ไร่ ประกอบด้วย พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมขนาดเล็ก พื้นที่อุตสาหกรรมและบิสซิเนสพาร์คขนาดใหญ่ โลจิสติกพาร์ค พื้นที่ค้าปลีกและบริการ และพื้นที่ติดตั้งSolar Farm ขนาด 100 Mw เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ทั้งในส่วนอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม ยังสามารถรักษาอัตราการเช่าได้ดี โดยได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว และเพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันในอนาคต บริษัทฯได้นำแนวคิดด้านความยั่งยืนมาใช้ยกระดับคุณภาพอาคารสาทรสแควร์และปาร์ค เวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ให้มีความทันสมัยขึ้น ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและการให้บริการ ทั้งนี้ ในระหว่างปีบริษัทฯ ได้ยุติการดำเนินงานของโรมแรมเมย์แฟร์ แมริออท เอ็กเซกคิวทีฟอพาร์ตเมนต์ โดยมีแผนที่จะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury เพื่อเป็นการบริหารจัดการสินทรัพย์ของบริษัทฯ ให้เกิดผลตอบแทนสูงสุดต่อไป
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์โดยลดสัดส่วนการพัฒนาทาวน์โฮมลงและเพิ่มโครงการบ้านเดี่ยว สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากกว่า รวมถึงพัฒนาคอนโดมิเนียม "โครงการโคลสรัชดา 7" เพื่อรองรับสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียม พร้อมทั้งศึกษาปรับปรุงรูปแบบบ้านและโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น นอกจากนั้นยังปรับปรุงขั้นตอนการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และการควบคุมการก่อสร้าง รวมถึงสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อก้าวเป็น Top-of-Mind ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเป้าหมายปัจจุบันและความยั่งยืนในระยะยาว ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการรับรองการตั้งเป้าหมายระยะสั้นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดย The Science Based Targets Initiative (SBTi) ซึ่งบริษัทฯถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองดังกล่าว และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหุ้นยั่งยืนในระดับ AA โดย SET ESG Ratings และได้รับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการประจำปี 2567 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยในระดับ 5 ดาว หรือดีเลิศเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน นอกจากนั้นบริษัทฯ ได้ร่วมจัดงาน Sustainability Expo 2024 ซึ่งเป็นมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพื่อส่งเสริมและแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่มคู่ค้าและบุคคลทั่วไป
บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าด้วยความมุ่งมั่นในการบริหารงานเพื่อต่อสู้กับการผันผวนทางเศรษฐกิจ และการบริหารจัดการเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ส่งผลให้ TRIS Rating คงสถานะอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ A/Stable พร้อมทั้งการเสริมศักยภาพในการแข่งขันและพยายามในการสร้าง New S-Curve ให้แก่องค์กร ทำให้บริษัทฯสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
สุดท้ายนี้ ผมและคณะกรรมการบริษัท ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทรัสต์ ผู้ถือหุ้นกู้ พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา และขอขอบคุณผู้บริหารและพนักงานทุกท่านสำหรับการร่วมแรงร่วมใจและความทุ่มเทในการปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถในสถานการณ์ธุรกิจที่มีความท้าทาย เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่บริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม